ท่านอาจารย์อิไลฉี เทวี โกเอ็นก้า
(มาตาจี)
บทสัมภาษณ์มาตาจี (ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๔)
นางอิไลฉี เทวี โกเอ็นก้า หรือที่รู้จักกันในครอบครัวและบรรดาศิษย์ว่า มาตาจี (คุณแม่ที่เคารพ, เป็นคำเรียกขานสตรีสูงวัยชาวอินเดียด้วยความเคารพ) เกิดเมื่อเดือนมกราคม ปีพ.ศ.๒๔๗๓ ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า บรรพบุรุษของท่านอพยพจากรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย เข้าไปยังพม่าเมื่อประมาณกว่าร้อยปีก่อน พวกท่านเป็นพ่อค้าที่ค้าขายธัญพืชและสินค้าต่างๆ มาตาจีเป็นหนึ่งในบรรดาลูกๆ ทั้งสาม ที่เป็นหญิงสอง ชายหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนอายุถึงสิบสอง ท่านอาศัยอยู่ที่มัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่า โดยอยู่ติดกับบ้านของครอบครัวท่านอาจารย์โกเอ็นก้า สมัยนั้นมีประเพณีนิยมในการจัดหาคู่สมรส ท่านจึงถูกหมั้นหมายกับท่านอาจารย์โกเอ็นก้าตั้งแต่เด็ก
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ทหารญี่ปุ่นได้กรีฑาทัพเข้ามาในพม่าและยึดครองประเทศในช่วงสงคราม โลกครั้งที่สอง ชาวอินเดียจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพม่าขณะนั้น รวมทั้งครอบครัวของมาตาจีและท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ต่างพากันหลบหนีกลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตน
ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าและมาตาจีได้สมรสกันที่เมืองมัณฑะเลย์ ในช่วงต้นปีพ.ศ.๒๔๘๕ ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝูงบินทิ้งระเบิด แทบจะทันทีที่เสร็จจากงานพิธี ครอบครัวของพวกท่านก็รีบพากันอพยพกลับอินเดีย ครอบครัวของมาตาจีไปอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ โดยบิดาของท่านได้ลงหลักปักฐานที่เมืองคุจราต และที่แคว้นปัญจาบ ในขณะที่ครอบครัวของท่านอาจารย์โกเอ็นก้าไปอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งมาตาจีก็ได้ติดตามสามีไปในช่วงสงครามโลกนี้ด้วย
หลังสงคราม ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าและมาตาจีก็พากันกลับพม่า โดยไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองร่างกุ้ง พวกท่านมีภาระง่วนอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรชาย ๖ คน ดำเนินธุรกิจของครอบครัว ตลอดจนเป็นครอบครัวผู้นำของชุมชนชาวฮินดู
ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าได้เข้ารับการอบรมวิปัสสนาครั้งแรกกับท่านอาจารย์อูบาขิ่น เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๘ หลังจากนั้นมาตาจีและคนอื่นๆ ในครอบครัว รวมทั้งเพื่อนๆ ก็ทยอยกันมาเข้ารับการอบรม และเริ่มฝึกปฏิบัติภายใต้คำแนะนำของท่านอาจารย์อูบาขิ่น
ปีพ.ศ.๒๕๑๒ ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าได้เดินทางกลับไปยังประเทศอินเดีย และเริ่มจัดการอบรมวิปัสสนาเป็นครั้งแรกที่นั่น ในขณะที่มาตาจียังคงพำนักอยู่ที่พม่าต่อ จวบจนกระทั่งหลังจากท่านอาจารย์อูบาขิ่นเสียชีวิตในปีพ.ศ.๒๕๑๔
สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพม่า ประกอบกับงานเผยแผ่ธรรมะ(ครั้งแรกที่อินเดีย ต่อจากนั้นก็ได้ขยายออกไปทั่วโลก) ครอบครัวท่านจึงได้มาลงหลักปักฐานที่เมืองบอมเบย์ (หรือมุมไบในปัจจุบัน-กองบ.ก.) ภายหลังจากมรณกรรมของท่านอาจารย์อูบาขิ่นไม่นานนัก
ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าและมาตาจีมีบุตรชาย ๖ คน สะใภ้ ๖ คน และหลานๆ อีก ๑๑ คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่รวมกันเป็น
ครอบครัวใหญ่ตามประเพณีนิยมที่บ้านในเมืองบอมเบย์
บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้เป็นการสัมภาษณ์ผ่านล่าม ที่บ้านพักของครอบครัวในเมืองมุมไบ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
ถาม: อยากจะขอให้ท่านกรุณาเล่าถึงครั้งแรกที่ได้พบกับท่านอาจารย์อูบาขิ่นสักหน่อยค่ะ
มาตาจี: หลังจากที่ท่านโกเอ็นก้าเข้ารับการอบรมครั้งแรกแล้ว ฉันก็ได้ไปที่ศูนย์พบกับท่านอาจารย์ ตอนนั้นท่านสอนอานาปานสติให้กับฉัน ฉันก็ปฏิบัติบ้าง แต่มักจะรู้สึกหนักหัวมากเวลาที่ทำอานาฯ ท่านอาจารย์บอกกับท่านโกเอ็นก้าว่า ฉันควรจะไปเข้าอบรมด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมากกับความก้าวหน้าของท่านโกเอ็นก้าด้วย
ถาม: ท่านอายุเท่าไหร่ในตอนที่พบกับท่านอาจารย์อูบาขิ่นเป็นครั้งแรก แล้วท่านอาจารย์อูบาขิ่นเป็นอาจารย์สอนธรรมะแบบไหนค่ะ
มาตาจี: ตอนที่พบกับท่านครั้งแรก ฉันน่าจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด จำได้ว่าเวลาที่อยู่กับท่าน ฉันจะรู้สึกสงบมาก แต่ก็เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างในตัวที่มันท่วมท้นจนบอกไม่ถูก
ถาม: อยากจะขอให้ท่านช่วยเล่าถึงตอนที่เข้าปฏิบัติครั้งแรกกับท่านอาจารย์อูบาขิ่นสักหน่อย
มาตาจี: นั่นเป็นช่วงที่มหัศจรรย์จริงๆ! ตอนที่ไปเข้าปฏิบัติครั้งแรกนั้น ฉันป่วยหนัก แค่จะปีนบันไดขึ้นไปห้องปฏิบัติรวมก็ยังไม่ไหวเลย ต้องมีคนคอยช่วยประคองตั้งสองคน ตอนนั้นฉันไม่สบายถึงกับกินอะไรไม่ได้เลย แต่หลังจากรับอานาฯ และฝึกปฏิบัติในเย็นวันแรกแล้ว ฉันก็รู้สึกดีขึ้น วันต่อมาก็เดินได้ กินได้ ทำอะไรที่จำเป็นได้ โดยไม่ต้องให้ใครช่วย การปฏิบัตินี่มีประโยชน์จริงๆ (หัวเราะ)
ถาม: ตอนที่เข้าปฏิบัติครั้งแรก ลูกชายของท่านอายุเท่าไหร่
มาตาจี: ตอนนั้นลูกชายคนเล็กของฉัน ชัย ประกาศ น่าจะอายุสี่ขวบ
ถาม: ยังเล็กมากทีเดียว แล้วท่านคิดถึงลูกๆ หรือเปล่า
มาตาจี: ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ฉันไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ต้องแยกจากกัน เพราะไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องอยู่ด้วยกันตลอด อีกอย่างเรายังอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งฉันรู้ว่าที่บ้านมีคนคอยดูแลพวกเด็กๆ อยู่แล้ว ก็เลยไม่ต้องเป็นห่วงอะไร แน่นอน ฉันคิดถึงลูกๆ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องผูกติดกัน
ถาม: ท่านอาจารย์อูบาขิ่นพูดภาษาพม่ากับภาษาอังกฤษ แต่ท่านพูดภาษาฮินดู แล้วพวกท่านสื่อสารกันอย่างไร ธรรมบรรยายทำอย่างไรค่ะ
มาตาจี: ท่านอาจารย์ไม่พูดมากอยู่แล้ว เวลาถาม ท่านก็บุ้ยใบ้เอา ฉันก็บุ้ยใบ้ตอบไป แค่นี่ก็รู้เรื่องแล้ว ท่านจะบรรยายธรรมสั้นๆ ประมาณสิบห้าถึงสามสิบนาที โดยท่านโกเอ็นก้าจะแปลให้กับผู้ปฏิบัติชาวอินเดียแค่ไม่กี่ประโยค ที่สำคัญคือเราจะต้องรู้หลักและวิธีการปฏิบัติ จากนั้นก็ต้องลงมือปฏิบัติ !
ถาม: นั่นเป็นเวลาสี่ปี หลังจากที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าเข้าปฏิบัติครั้งแรกใช่ไหมคะ
มาตาจี: ใช่แล้ว ประมาณสามหรือสี่ปีหลังจากนั้นแหละ
ถาม: แล้วในช่วงสามสี่ปีนั้น ท่านได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวของท่านอาจารย์โกเอ็นก้าบ้าง
มาตาจี: เปลี่ยนไปมากๆ เลยล่ะ! (หัวเราะ)
ถาม: ท่านกับท่านอาจารย์โกเอ็นก้าเคยพาลูกๆ ไปที่ศูนย์ของท่านอาจารย์อูบาขิ่นบ้างหรือไม่
มาตาจี: ช่วงที่เข้าปฏิบัติประมาณห้าถึงเจ็ดครั้งแรก เราไม่ได้พาเด็กๆ ไปด้วย แต่หลังจากที่ฉันไปบ่อยขึ้น เด็กๆ ก็ไปกับฉันด้วย พวกเขาจะนอนค้างที่ศูนย์ แล้วตอนเช้าก็จะออกจากที่นั่นไปโรงเรียน
ถาม: ท่านอาจารย์อูบาขิ่นทำอย่างไรกับเด็กๆ
มาตาจี: ท่านรักและเอ็นดูพวกเขามาก สอนอานาฯ ให้ด้วย พอถึงวันหยุดเมื่อไร เด็กๆ จะไปอยู่ที่นั่นกันทั้งวัน แล้วท่านอาจารย์ก็จะสอนทั้งอานาฯและวิปัสสนาให้ พวกเขาจึงได้อยู่บนหนทางนี้ด้วย
ถาม: ที่บ้านของท่านมีห้องสำหรับให้ครอบครัวปฏิบัติร่วมกันหรือเปล่าคะ
มาตาจี: ช่วงหลังๆ เรามีห้องปฏิบัติอยู่ตรงระเบียงบ้าน เด็กๆ ก็มานั่งด้วย พวกเขาจะร่วมสวดรัตนสูตรและมงคลสูตรกับเรา แล้วนั่งปฏิบัตินิดหน่อยตามความพอใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นเงียบๆ ไปโรงเรียน หรือไม่ก็ที่อื่น ในขณะที่พวกผู้ใหญ่นั่งปฏิบัติกันต่อ
ถาม: ถ้าอย่างนั้นท่านยังไปนั่งปฏิบัติที่ศูนย์ของท่านอาจารย์อูบาขิ่นอีกหรือเปล่าคะ
มาตาจี: ก็ไปบ้าง แต่ไม่ทุกวัน ก่อนที่จะมีการยึดอำนาจในประเทศ เราอาจจะไปที่ศูนย์กันอาทิตย์ละครั้ง แต่หลังจากที่รัฐบาลใหม่เข้ามาและยึดเอากิจการต่างๆ ไปแล้ว เรามีเวลาว่างมากขึ้น ก็จะไปกันอาทิตย์ละสามครั้ง บางทีก็เป็นช่วงเช้า แต่ไม่ได้มีเวลาที่แน่นอน
ถาม: ระหว่างนั้น ท่านทราบหรือไม่คะว่าอนาคตจะต้องอุทิศชีวิตทั้งหมดให้กับการเผยแผ่ธรรมะ
มาตาจี: โอ้! ไม่เลย ฉันไม่รู้อะไรเลย
ถาม: แล้วท่านอาจารย์อูบาขิ่นเคยพูดถึงเรื่องการเผยแผ่ธรรมะของท่านบ้างไหมคะ
มาตาจี: ท่านมักจะพูดกับฉันบ่อยๆ ว่า “เธอต้องทำงานหนักมากนะ ต้องทำงานเยอะแยะ มีงานมากมายต้องทำ” ซึ่งฉันก็รู้อยู่แล้วว่าชีวิตตัวเองมีภาระต้องดูแลงานในบ้าน เลยได้แต่แปลกใจว่า ทำไมท่านอาจารย์จึงบอกกับฉันว่า ฉันจะต้องแบกรับภาระงานในบ้านต่อไปตลอดชีวิต (หัวเราะ) ฉันไม่รู้เลยว่าท่านหมายถึงอะไร ท่านไม่เคยบอกว่าเราจะต้องทำงานธรรมะ ท่านแค่ฝึกเรา อบรมธรรมะให้กับเรา แต่ไม่บอกเรา เราก็เลยไม่รู้ ! บางทีท่านก็จะบอกว่า “ไปดูคนที่กำลังเข้าปฏิบัติคนนั้นหน่อยสิ ดูว่าเธอรู้สึกอย่างไรบ้าง” หรืออะไรทำนองนี้ เราถูกฝึกให้ไวกับความรู้สึก โดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก เพราะท่านไม่ได้อธิบายอะไร ตอนนี้เราถึงได้รู้แล้วว่าท่านฝึกเราตลอดเวลา
ถาม: หลังจากที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าเดินทางกลับอินเดียเพื่อสอนธรรมะแล้ว ท่านยังคงอยู่ที่พม่าต่ออีกสองปีหรือคะ
มาตาจี: ประมาณสองปีครึ่ง
ถาม: ระหว่างนั้นท่านยังไปหาท่านอาจารย์อูบาขิ่นที่ศูนย์ฯ หรือเปล่าคะ
มาตาจี: ฉันไปหาท่านบ่อยขึ้นกว่าเดิม บ่อยมากทีเดียว หลังจากท่านโกเอ็นก้าไปอินเดียแล้ว เวลาที่ฉันไปหาท่าน ดูท่านจะเมตตาฉันมาก ท่านจะถามว่า “เป็นยังไงบ้าง” ราวกับว่าท่านเป็นพ่อของฉัน ท่านทราบดีว่าท่านโกเอ็นก้าไม่อยู่ จึงห่วงใยฉันเหมือนเช่นที่พ่อแม่เป็นห่วง ท่านมักจะถามถึงทุกข์สุขของฉัน ดูว่าที่บ้านเรียบร้อยดีไหม ฉันมักจะไปนั่งปฏิบัติที่ศูนย์ แล้วอยู่พูดคุยกับท่านอาจารย์อูบาขิ่นต่อนิดหน่อย ซึ่งก็ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้นมาก ท่านมีเมตตามากๆ ฉันรู้สึกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนั้น ว่าท่านเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาจริงๆ
ถาม: พ่อแม่ของท่านเคยพบกับท่านอาจารย์อูบาขิ่นบ้างไหมคะ
มาตาจี: เคยทั้งคู่ พวกท่านเคยเข้าปฏิบัติหลักสูตร ๑๐ วันกับท่านอาจารย์อูบาขิ่นถึงสองครั้ง
ถาม: หลังจากที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าและท่านได้ตั้งมั่นในธรรมะแล้ว พ่อแม่ของท่านรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านไหมคะ แล้วพวกท่านพอใจหรือเปล่า
มาตาจี: แรกๆ ที่เราเริ่มงานรับใช้ธรรมะ พ่อแม่ของฉันดูจะอึ้งไปนิดหน่อย เพราะเป็นห่วงว่าเราจะดูแลลูกๆ ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะต้องทุ่มเทให้กับงานธรรมะ แต่พอท่านเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย ได้เห็นผลดีของธรรมะ รวมทั้งเด็กๆ ได้อยู่บนหนทางที่ถูกที่ควร ก็ดูท่านพลอยมีความสุขไปกับงานรับใช้ธรรมะของเราด้วย
ถาม: ช่วงที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าเพิ่งจะหันเข้าหาธรรมะนั้น ครอบครัวของท่านเป็นห่วงไหมคะว่า ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะถูกล่อลวง
มาตาจี: ตอนที่ท่านโกเอ็นก้าไปเข้าปฏิบัติครั้งแรกนั้น ทุกๆ คนต่างก็เป็นห่วง กลัวว่าถ้าท่านหันไปนับถือธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วจะไปบวช แล้วครอบครัวของเราจะทำอย่างไร ทุกคนในบ้านพากันพูดถึงเรื่องที่ตัวเองเป็นห่วง นั่นยิ่งทำให้ฉันกังวลหนักขึ้นกว่าเดิม แต่หลังจากที่ค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของท่านโกเอ็นก้าชัดเจนขึ้น บวกกับตัวฉันเองได้ไปเข้าปฏิบัติ และจากนั้นคนอื่นๆ ในบ้านก็ได้ไปเข้าปฏิบัติด้วย ความวิตกกังวลทั้งหลายแหล่ก็หายไป หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องหวั่นใจอีก
ถาม: ตอนที่ท่านอาจารย์อูบาขิ่นเสียชีวิต ท่านยังอยู่ในพม่าใช่ไหมคะ
มาตาจี: ใช่ ฉันยังอยู่ที่นั่น
ถาม: อยากจะขอให้ท่านช่วยกรุณาเล่าถึงงานศพหลังจากท่านอาจารย์อูบาขิ่นเสียชีวิต มีการอำลาศพท่านอย่างไรบ้างคะ
มาตาจี: หลังจากท่านอาจารย์เสียชีวิต ฉันก็รู้สึกว่าข้างในมันโหวงเหวง ราวกับหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันไปที่งานศพ แต่ไม่มีกะจิตกะใจจะเดินดู หรือทำอะไรทั้งนั้น เขาเผาศพกันด้วยไฟฟ้า แต่ฉันไม่ได้ไปดู พอเสร็จงาน เราก็กลับบ้านนั่งสมาธิ จากนั้นฉันถึงได้ค่อยรู้สึกสงบและสบายใจมากขึ้น ก่อนหน้านี้มันแย่จริงๆ ฉันรู้สึกเคว้งคว้างเหลือเกิน ยิ่งเรื่องไปนั่งที่ศูนย์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มันเหมือนกับว่าพอสิ้นท่านอาจารย์แล้ว ศูนย์ก็หมดความหมาย ตอนที่ฉันไปเข้าปฏิบัติ เคยนั่งๆ อยู่ แล้วรู้สึกว่า ถ้าไม่มีท่านอาจารย์แล้ว ก็ไม่มีศูนย์ ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะมาที่นี่อีก จากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าท่านอาจารย์กำลังยืนอยู่ข้างๆ ฉัน แต่พอลืมตาขึ้น ก็ไม่มีอะไร มันเป็นแค่ความรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าท่านอยู่ตรงนั้น
ถาม: หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ศรัทธาที่ท่านมีต่อธรรมะยังเต็มเปี่ยมอยู่ไหมคะ
มาตาจี: ศรัทธาในธรรมะยังคงมีอยู่เสมอ ไม่ได้จางหายไปเพราะการตายของท่านอาจารย์เลย การตายของท่านเป็นเรื่องของคนใกล้ชิด คนที่เรารักมากๆ มาด่วนจากไป ถ้าเราต้องสูญเสียคนที่รักไปอย่างกะทันหัน มันจะปวดร้าวขนาดไหนล่ะ เราจะรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่า รู้สึกสูญสิ้น แต่นั่นไม่ใช่เพราะธรรมะหายไป แล้วเวลาก็จะช่วยเยียวยาบาดแผล ให้เราค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ถาม: การที่ท่านอาจารย์อูบาขิ่นจากไปอย่างกะทันหัน คงเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ทุกๆ คนคงจะตกใจกันหมด
มาตาจี: ตกใจมากสิ เพราะท่านป่วยได้แค่สองวัน ไม่มีใครคิดว่าท่านจะเสียชีวิตรวดเร็วเพียงนี้ ฉันมารู้ข่าวตอนสามโมงว่าท่านเสีย ก็ตกใจมาก ท่านเพิ่งเข้าโรงพยาบาลได้แค่วันสองวัน ไม่มีใครคิดว่าท่านจะมาด่วนจากไป
ถาม: ถ้าย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้าที่ท่านอาจารย์อูบาขิ่นจะเสียชีวิต ตอนที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้ากำลังสอนอยู่ในอินเดีย และท่านยังไปที่ศูนย์ฯ ท่านอาจารย์อูบาขิ่นเคยบอกหรือชี้แนะอะไรท่านบ้างไหมว่า ท่านจะต้องกลับไปเผยแผ่ธรรมะที่อินเดีย ท่านอาจารย์อูบาขิ่นได้พูดถึงบทบาทหน้าที่ของท่านบ้างไหมคะ
มาตาจี: ท่านไม่เคยบอกกับฉันตรงๆ หรอกนะว่าฉันเองก็ต้องกลับอินเดีย และเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแผ่ธรรมะกับท่านโกเอ็นก้า แต่ท่านมักจะพูดว่า ท่านดีใจและมีความสุขมากที่ได้เห็นท่านโกเอ็นก้ากลับไปอินเดียและกำลังเผยแผ่ธรรมะ
ถาม: ท่านมีความสุขไหมคะตอนที่อยู่ในพม่า
มาตาจี: พม่าเป็นประเทศของฉัน ฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะเป็นประเทศของฉัน ฉันเกิดที่นั่น
ถาม: ท่านยังรู้สึกว่าที่นั่นเป็นบ้านหรือคะ
มาตาจี: สำหรับฉันแล้ว ตอนนี้ทุกๆ แห่งที่ไปเป็นบ้านของฉันทั้งนั้น และฉันก็มีความสุข
ถาม: ในพม่า ท่านชอบเมืองมัณฑะเลย์หรือร่างกุ้งคะ
มาตาจี: ฉันโตที่มัณฑะเลย์ แต่หลังจากที่เรากลับพม่า ก็ได้ไปอยู่ที่ร่างกุ้ง ฉันชอบทั้งสองที่นั่นแหละ แน่นอนว่าร่างกุ้งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่า แต่ฉันไม่เคยคิดว่าที่ไหนดีกว่ากัน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ดีทั้งนั้น อยู่อย่างมีความสุข!
ถาม: ท่านรู้สึกอย่างไรที่ได้กลับพม่าอีกครั้งหลังจากที่ได้จากไปถึงยี่สิบเอ็ดปี
มาตาจี: มีความสุขมาก เพราะบรรยากาศที่นั่นเต็มไปด้วยกระแสของธรรมะ จึงนับเป็นเรื่องวิเศษจริงๆ ที่ได้กลับไปอีก
ถาม: ช่วงปีพ.ศ. ๒๕๑๔ ที่ท่านย้ายจากพม่าไปอินเดีย ท่านรู้สึกอย่างไรที่ต้องจากพม่าไปปักหลักในประเทศใหม่
มาตาจี: ตอนออกจากบ้านที่ร่างกุ้ง ฉันเศร้ามาก เพราะเป็นบ้านของครอบครัวที่อยู่กันมานานหลายปี จู่ๆ ก็ต้องจากไป แต่พอมาถึงบอมเบย์ ได้เห็นบ้านที่ทั้งครอบครัวมาอยู่รวมกัน ฉันก็มีความสุข สบายใจขึ้นมาก ตอนนี้มันเป็นที่ที่ดีกว่า และฉันก็รู้สึกดีมากๆ แต่แน่นอนว่าที่นี่ไม่สงบเงียบเท่าในพม่า
ถาม: สมัยแรกๆ ที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจัดอบรมแบบ ‘ยิปซีแคมป์’ (จัดตามสถานที่ต่างๆ ชั่วคราว-กอง บ.ก.) ท่านได้ไปช่วยสอนด้วยหรือเปล่าคะ
มาตาจี: ช่วยสิ! ฉันก็ไปกับท่านโกเอ็นก้าด้วยเวลาที่จัดอบรมธรรมะตามยิปซีแคมป์
ถาม: คงจะดูแตกต่างกันมากกับศูนย์ของท่านอาจารย์อูบาขิ่นที่สงบเงียบ เป็นหลักเป็นฐาน เพราะตามยิปซีแคมป์นั้นเอาแน่กับอะไรไม่ได้เลย
มาตาจี: ใช่แล้ว มันยุ่งยาก แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของมันละนะ และพลังของธรรมะก็ช่วยให้สิ่งต่างๆ เข้าที่เข้าทาง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็คลี่คลายไปได้ด้วยดี
ถาม: สมัยนั้นการจัดยิปซีแคมป์เป็นเรื่องที่ขลุกขลักไม่น้อย ท่านต้องตระเวนไปตามที่ต่างๆ ในอินเดีย ทั้งพวกชาวต่างชาติที่มาเข้ารับการอบรมก็ดูจะร้ายเอาการ ดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่หนักอึ้งทีเดียว ท่านคิดอย่างไรคะ
มาตาจี: เป็นเรื่องคุ้มค่าอย่างยิ่ง และให้ประสบการณ์ที่ดีกับฉัน เมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของศิษย์ชาวตะวันตกแล้ว ก็รู้สึกคุ้มค่าจริงๆ เพราะเราได้เห็นว่าธรรมะนั้นช่วยเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างไร เท่านั้นก็คุ้มค่ามากแล้วล่ะ
ถาม: และท่านก็รู้สึกวางใจที่ครอบครัวใหญ่ในบอมเบย์ช่วยดูแลลูกๆ ของท่านอย่างดี
มาตาจี: ใช่แล้ว ธรรมะช่วยจัดการทุกอย่าง
ถาม: ในฐานะที่เป็นภรรยา เป็นแม่ เป็นย่า ที่ได้รับความเคารพรักอย่างสูง และเป็นศูนย์กลางของครอบครัวใหญ่ตามประเพณีของชาวอินเดีย ท่านคิดว่าวิปัสสนามีคุณค่าอย่างไรต่อชีวิตครอบครัวคะ
มาตาจี: วิปัสสนามีประโยชน์มากกับครอบครัวใหญ่ ถ้ามีใครสักคนมาขอคำแนะนำ เราก็สามารถชี้แนะด้วยแง่มุมของธรรมะ เราจะไม่มองไปที่ความผิดพลาดของคนอื่น แต่จะให้คำแนะนำที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่มีใครมาขอคำแนะนำอะไร เราก็ไม่ทุกข์ร้อน ไม่ใช่อัตตาคับพองว่าทุกคนจะต้องมาขอความเห็นจากเราทุกอย่าง ถ้ามีคนมาถาม เราก็ค่อยออกความเห็น ถ้าไม่มี เราก็มีความสุขความพอใจกับตัวเอง วิปัสสนามีประโยชน์อย่างยิ่ง
ถาม: การฝึกอานาปานสติกับวิปัสสนาให้ผลดีกับเด็กๆ ด้วยหรือคะ
มาตาจี: ใช่ มันช่วยเด็กๆ ได้มากทีเดียว เพราะพวกเขาจะได้รับการปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ของธรรมะตั้งแต่ยังเล็ก แล้วมันก็จะค่อยๆ เจริญงอกงามขึ้น เป็นเรื่องที่ดีมากๆ สำหรับพวกเขา
ถาม: เราเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของแม่สามีที่จะต้องคอยดูแลช่วยเหลือสะใภ้ในยามใกล้คลอด ตอนที่สะใภ้ของท่านกำลังจะมีลูกนั้น ท่านทำหน้าที่อะไรบ้างคะ
มาตาจี: นี่เป็นหน้าที่สำคัญของแม่สามี ตอนนั้นฉันต้องดูแลลูกสะใภ้เป็นพิเศษ ให้เขาได้พักผ่อนเพียงพอ ประคบประหงมอย่างเต็มที่ เป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ
ถาม: นั่นนานแค่ไหนคะ
มาตาจี: หลังคลอด ก็ประมาณเดือนหรือเดือนครึ่ง
ถาม: ท่านมีหลานกี่คน
มาตาจี: สิบเอ็ดคน
ถาม: ตอนที่พวกเขาเกิด ท่านอยู่ด้วยหรือเปล่า
มาตาจี: ไม่ทุกคนหรอก มีสองคนที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วยตอนเขาเกิด
ถาม: แล้วตอนที่ท่านอยู่ด้วย ท่านคิดว่าการแผ่เมตตาช่วยพวกสะใภ้ได้หรือเปล่าคะ
มาตาจี: ถ้าสะใภ้คนนั้นฝึกวิปัสสนา การแผ่เมตตาก็จะช่วยเขาได้มาก แต่ถ้าเขากำลังทุรุนทุรายด้วยความเจ็บปวด และจดจ่ออยู่แต่กับความเจ็บปวดนั้นแล้วละก็ มีเขาคนเดียวนั่นแหละที่รู้ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน และสามารถรับรู้ถึงกระแสของเมตตาได้แค่ไหน แน่นอนว่าโดยส่วนตัวนั้นฉันแผ่เมตตาให้อยู่แล้ว ให้เสมอ มากเท่าที่จะมากได้ แต่จะให้บอกได้อย่างไรว่าแผ่เมตตาให้มากเท่าไหร่ (หัวเราะลั่น)
ถาม: แม่สามีของท่านได้มาช่วยตอนที่ท่านคลอดลูกด้วยหรือเปล่า
มาตาจี: โอ้! แน่นอน ท่านช่วยฉันมากมายกว่าที่ฉันช่วยลูกสะใภ้ของฉันเสียอีก ท่านทำงานหนักกว่าที่ฉันทำมากนัก เดี๋ยวนี้เราสบายกว่าเยอะ แทบจะไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองสักเท่าไหร่ ในขณะที่พวกท่านลำบากกว่ามาก ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
ถาม: ในครอบครัวใหญ่ คุณย่าคุณยายมีบทบาทต่อหลานๆ อย่างไรบ้างคะ
มาตาจี: (หัวเราะ- ขณะนั้นมีหลานสาววัยสิบหกนั่งอยู่ด้วย) เราก็คอยแนะนำให้เด็กๆ ได้เดินบนทางที่ถูกต้อง จากนั้นก็เป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะ จะรับได้แค่ไหน และจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เราแค่ชี้ให้พวกเขาเดินบนทางที่ถูกที่ควร ฉันมีความสุขนะ เพราะทุกวันนี้หลานๆ ทุกคนได้เดินอยู่บนหนทางที่ถูกต้อง ภาระนั้นตกหนักอยู่ที่หลานคนโต เพราะถ้าเขาเดินไปบนทางที่ถูกต้อง คนอื่นๆ ที่เหลือก็จะเดินตาม สำหรับลูกๆ ของฉันเองก็ทำหน้าที่ของพวกเขาได้ดี และเข้าใจความรับผิดชอบของตนเอง แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วล่ะ
ถาม: ธรรมะได้ช่วยท่านอย่างไร และในฐานะของอาจารย์สอนธรรมะ ท่านเห็นว่าวิธีการนี้ได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ อย่างไรบ้าง
มาตาจี: ใจฉันสงบขึ้น มีความสุข และไม่สนใจกับเรื่องอื่นๆ สำหรับฉันแล้ว ธรรมะมีประโยชน์รอบด้าน ช่วยให้ผู้คนมีจิตใจสงบขึ้นในทุกๆ เรื่อง ช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นภาระหน้าที่ในชีวิตไปได้ ใช่ว่าเงินจะบันดาลความสุขความพอใจให้เราได้เสมอไป ถ้าคนๆ นั้นไม่มีเงิน แต่มีธรรมะ ก็จะรู้สึกว่า “อึม ฉันมีพอแล้ว” เขาจะรู้สึกพอใจ ถึงแม้จะไม่มีเงิน เพราะเขามีธรรมะ
ถาม: ท่านรู้สึกอย่างไรที่ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องไปยังประเทศที่ท่านไม่สามารถพูดภาษาของประเทศนั้นๆ
มาตาจี: การเดินทางเป็นเรื่องที่น่าเหน็ดเหนื่อย พอเราลงจากเครื่องบินแล้ว ก็จะเหนื่อยมากๆ อยู่วันสองวัน การเดินทางบวกกับบรรยากาศแวดล้อมที่ต่างออกไป จะทำให้เรารู้สึกปั่นป่วนนิดหน่อยอยู่สักวัน แต่พอเราเริ่มการอบรมและง่วนอยู่กับการอบรม ก็จะสงบขึ้นมาก ดีขึ้นมาก ถึงฉันจะไม่เข้าใจภาษาที่พูดกัน แต่ลึกๆ แล้วฉันก็รู้สึกดีมากๆ เวลาที่ศิษย์ถามคำถาม ถึงฉันจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น
ถาม: ฝรั่งหลายๆ คนบอกว่า ถึงท่านจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าท่านเข้าใจ พวกเขารู้สึกว่าท่านเข้าใจดีทีเดียวว่าพวกเขาพูดอะไร
มาตาจี: (หัวเราะ- มาตาจียิ้มเหมือนจะบอกว่าท่านเข้าใจถึงข้อสังเกตที่ว่านี้) ที่ฉันไม่พูดอะไรมาก ก็เพราะไม่อยากจะให้มีอะไรที่ผิดๆ ที่ไม่จริงออกไปจากตัวฉัน ฉันเป็นห่วงเรื่องนี้มาก ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันก็มีนิสัยไม่ค่อยชอบพูดถึงเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว เราแค่ดูอยู่เฉยๆ ดีกว่าที่จะกระโดดเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย
ถาม: ขออนุญาตถามได้ไหมคะว่า ท่านทำอะไรในตอนที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้ากำลังบรรยายธรรม
มาตาจี: อยากรู้หรือว่าตอนนั้นฉันทำอะไร (หัวเราะ) ฉันก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้กับทุกๆ คนไง
ถาม: เราไม่มีคำถามแล้วค่ะ ขอกราบขอบพระคุณค่ะ
มาตาจี: ขอให้มีความสุข!
(แปลจาก SAYAGYI U BA KHIN JOURNAL หน้า ๑๖๒)