พระอาจารย์แลดี ซายาดอว์ (ค.ศ.18461923)

โดยสถาบันวิจัยวิปัสสนา

อ้างอิง : อาจาริยบูชา หน้า 12-19

พระอาจารย์แลดี ซายาดอว์[1] เกิดปีพ.ศ. 2389 ที่หมู่บ้านไซปิน  เมืองดิเปยิน  อำเภอชเวโบ (คืออำเภอมงยวาในปัจจุบัน) ทางตอนเหนือของประเทศเมียนมาร์  ท่านมีนามเดิมในวัยเยาว์ว่า หม่องเท็ตเคา  ซึ่งเป็นชื่อที่เหมาะ เพราะท่านได้ใช้ความพากเพียรศึกษาปฏิบัติจนถึงจุดสูงสุดได้จริง

เมื่ออายุแปดปี ท่านเริ่มศึกษาวิชาความรู้กับพระอาจารย์อูนันทธัช ซายาดอว์  และบรรพชาเป็นสามเณรขณะอายุ 15 ปี  โดยได้รับฉายาว่า “ญาณธัช” (ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ)  ท่านศึกษาภาษาบาลีและคัมภีร์ในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะอภิธัมมัตถสังคหะ อรรถกถาแนะนำพระไตรปิฎกหมวดอภิธรรม  ระหว่างที่ยังเป็นสามเณร  ท่านจะศึกษาคัมภีร์ในตอนกลางวัน และร่วมสวดมนต์กับพระรวมทั้งสามเณรอื่นๆ ในยามค่ำคืน  ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นผู้รอบรู้ในคัมภีร์อภิธรรม

เมื่ออายุ 18 ปี  สามเณรญาณธัชได้สึกออกมาในระยะสั้น ๆ  เพราะไม่พอใจกับการศึกษาที่จำกัดให้ศึกษาเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้น  หลังจากนั้นประมาณหกเดือน  พระอาจารย์มินทิน ซายาดอว์ พระที่มีอิทธิพลต่อท่านอีกรูปหนึ่ง  ได้ขอให้ท่านกลับไปใช้ชีวิตในเพศบรรพชิตเพื่อไปศึกษาต่อ  หม่องเท็ตเคานั้นฉลาดและกระตือรือร้นที่จะศึกษา จึงคล้อยตามคำแนะนำ

“เจ้าสนใจจะศึกษาพระเวทคัมภีร์โบราณของศาสนาฮินดูหรือเปล่า ?”  ท่านมินทินซายาดอว์ถาม

“ขอรับ ท่านอาจารย์” หม่องเท็ตเคาตอบ

ถ้าเช่นนั้น เจ้าต้องบวชเณร มิฉะนั้น ท่านอูคันธรรมที่หมู่บ้านเยอู จะไม่รับเจ้าเป็นศิษย์”

“ขอรับ กระผมจะบวชเณร”  ท่านรับคำ

ด้วยเหตุนี้ ท่านแลดี ซายาดอว์จึงได้กลับมาบวชเป็นสามเณร  และนับจากนั้นก็ไม่เคยสึกออกไปอีกเลย  ในภายหลังท่านสารภาพกับศิษย์คนหนึ่งว่า  “ตอนแรก ข้าคิดจะหาเลี้ยงชีพโดยอาศัยความรู้จากพระเวทไปทำนายทายทักดวงชะตาผู้คน  แต่โชคดีเหลือเกินที่ข้าได้กลับมาบวชเณรอีกครั้ง  พระอาจารย์ของข้านั้นหลักแหลมยิ่งนัก  ท่านรั้งข้าไว้ได้ด้วยความรักความเมตตาเหลือคณนา

ในระยะเวลาแปดเดือน  สามเณรญาณธัช ผู้มีปัญญาล้ำเลิศได้เรียนรู้พระเวท กับท่านอูคันธรรม จนแตกฉาน  และศึกษาพระไตรปิฎกต่อ  เมื่อท่านอายุ 20 ปี ในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2409 ท่านได้รับการอุปสมบทจากท่านอูนันทธัช ซายาดอว์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ท่าน

ก่อนเข้าพรรษา ปีพ.ศ. 2410  ในรัชสมัยของกษัตริย์มินดงมิน (ครองราชย์ระหว่างปีพ.ศ.2396 – 2421)  ภิกขุญาณธัช  ได้กราบลาพระอุปัชฌาย์ เดินทางออกจากอำเภอมงยวาภูมิลำเนาเดิม  เพื่อไปศึกษาต่อที่เมืองมัณฑะเลย์  ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองหลวงของเมียนมาร์และเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญที่สุดของประเทศ  ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์สำคัญ ๆ หลายรูป  รวมทั้งบัณฑิตที่เป็นฆราวาสด้วย  เริ่มแรกท่านพำนักอยู่ที่วัดมหาโชติการาม  และศึกษากับท่านซานเจ๊า ซายาดอว์ พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของเมียนมาร์ ผู้แปลคัมภีร์วิสุทธิมรรคหรือหนทางสู่ความบริสุทธิ์เป็นภาษาพม่า

ในช่วงเวลานี้ ท่านซานเจ๊า ซายาดอว์ได้ออกข้อสอบ 20 ข้อแก่ผู้เรียน 2,000 รูป  มีเพียงภิกขุญาณธัชเพียงรูปเดียวเท่านั้น  ที่สามารถตอบคำถามทุกข้อได้เป็นที่น่าพอใจ  ต่อมาในปีพ.ศ.2423  คำตอบดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในชื่อ “บารมีทีปนี” (คู่มือแห่งบารมี) นับเป็นหนังสือเล่มแรกในจำนวนหลาย ๆ เล่ม  ที่ท่านแลดี ซายาดอว์เขียนเป็นภาษาบาลีและเมียนมาร์

ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในเมืองมัณฑะเลย์  กษัตริย์มินดงมินทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ห้าในปีพ.ศ. 2414  โดยนิมนต์พระภิกษุจากทั่วประเทศ  และท่านแลดี ซายาดอว์ ได้ช่วยตรวจแก้และแปลข้อสอบอภิธรรมในการสังคายนาครั้งนี้ด้วย ต่อมาท่านได้เป็นอาจารย์สอนภาษาบาลีที่วัดมหาโชติการาม  อันเป็นสถานที่ที่ท่านศึกษานั่นเอง

ในปี พ.ศ. 2425 ขณะอายุ 36 ปี ท่านได้ย้ายกลับไปที่มงยวา ซึ่งเป็นอำเภอเล็ก ๆ บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำชินดวิน  ทุกวันท่านจะเข้าในเมืองเพื่อสอนภาษาบาลีให้แก่พระและสามเณร   ตอนเย็นจะข้ามกลับไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำชินดวิน  และใช้เวลาค่ำคืนปฏิบัติวิปัสสนาในกุฏิเล็ก ๆ ที่อยู่อีกฟากของภูเขาเละปันเดา  ถึงไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด  แต่เหมือนว่าช่วงนี้ ท่านจะเริ่มปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาในเมียนมาร์  ซึ่งใช้อานาปานสติ และการสังเกตเวทนา (ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกาย)

ปีพ.ศ. 2428  อังกฤษเข้ายึดครองเมียนมาร์ตอนบน  และเนรเทศพระเจ้าทีป่อกษัตริย์องค์สุดท้ายออกนอกประเทศ  ปีต่อมาท่านญาณธัชได้เข้าไปปฏิบัติกรรมฐานที่ป่าแลดี ทางตอนเหนือของมงยวา  หลังจากนั้นมีพระภิกษุทยอยกันมาขอให้ท่านสอนกรรมฐาน

ต่อมามีการก่อสร้างวัดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พำนัก และตั้งชื่อว่าวัดแลดีตอว์ยะ อันเป็นที่มาของชื่อ แลดี ซายาดอว์  ว่ากันว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มงยวาเจริญเติบโตเป็นเมืองใหญ่ดังเช่นทุกวันนี้  เพราะมีผู้คนมากมายพากันหลั่งไหลมาที่วัดของท่านนั่นเอง  ถึงแม้ท่านจะสอนศิษย์จำนวนมากที่วัดแลดีตอว์ยะ แต่ยังคงปลีกวิเวกไปปฏิบัติกรรมฐานในกุฎิเล็ก ๆ ที่อยู่อีกฟากแม่น้ำเป็นประจำ

งานชิ้นแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ในปีพ.ศ. 2440 คือ “ปรมัตถทีปนี” (คู่มือแห่งปรมัตถสัจจะ)  และงานชิ้นที่สอง คือ “นิรุทธทีปนีภิกขุ” แม้ว่าท่านจะพำนักอยู่ที่วัดแลดีตอว์ยะเป็นส่วนใหญ่  ทว่าบางครั้งได้เดินทางไปทั่วเมียนมาร์เพื่อสอนกรรมฐานและปริยัติ  ท่านเป็นแบบอย่างของสงฆ์ที่หาได้ยากยิ่ง  กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติ  ในช่วงที่ท่านเดินทางไปทั่วประเทศนี้  ท่านได้ผลิตงานออกมาจำนวนมาก นอกจากนี้  ท่านยังเขียนหนังสือธรรมะเป็นภาษาพม่าอีกหลายเล่ม  เพื่อให้ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจ  เนื่องจากก่อนหน้านี้  ถือเป็นเรื่องผิดปกติที่จะเขียนหนังสือธรรมะให้ฆราวาสอ่าน  แม้แต่ในระหว่างเทศน์ พระจะสวดเป็นภาษาบาลียาว ๆ  แล้วจึงแปล  ซึ่งเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้

ด้วยความหยั่งรู้ในการปฏิบัติและความเมตตาที่ท่วมท้น  ทำให้ท่านแลดี ซายาดอว์ปรารถนาที่จะเผยแผ่ธรรมะ  ไปสู่ผู้คนทุกหมู่เหล่าในสังคม เช่น ในหนังสือ “ปรมัตถสังเขป” ท่านแปลพระอภิธัมมัตถสังคหะออกมาเป็นภาษาพม่า 2,000 บท  เพื่อให้คนหนุ่มสาวได้อ่าน ซึ่งยังได้รับความนิยมมาจนทุกวันนี้  ขณะที่เดินทางไปทั่วเมียนมาร์  ท่านแลดี  ได้เขียนหนังสือชื่อ “โคมังสมาติกา” ชักชวนผู้คนให้หยุดฆ่าวัวมารับประทาน  และส่งเสริมการรับประทานมังสวิรัติ  ในช่วงนี้ ท่านอูโพเท็ต (ท่านซายาเท็ตจี) ได้มาเรียนวิปัสสนากับท่านแลดี ซายาดอว์เป็นครั้งแรก  จนต่อมาได้กลายเป็นวิปัสสนาจารย์ฆราวาสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของเมียนมาร์ และเป็นครูของท่านอาจารย์อูบาขิ่น

พ.ศ. 2454 ชื่อเสียงของท่านแลดี ซายาดอว์  ในฐานะปราชญ์ผู้ทรงความรู้และวิปัสสนาจารย์ได้ขจรขจาย  รัฐบาลอังกฤษในอินเดียได้มอบสมัญญา อัครมหาบัณฑิต ให้ และท่านได้รับปริญญาดุษฎีบัญฑิตด้านอักษรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง

ในช่วงบั้นปลายชีวิต  สายตาของท่านเริ่มเสื่อมลง  เนื่องจากอ่านหนังสือและเขียนตำราในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอ  เมื่ออายุ 73 ปี ท่านตาบอดสนิท  และท่านได้อุทิศชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรมและการสอนกรรมฐานแต่เพียงอย่างเดียว

ท่านแลดี ซายาดอว์ มรณภาพในปีพ.ศ. 2466 ขณะสิริอายุ 76 ปี  ที่พิมมะนา ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองมัณฑะเลย์กับกรุงย่างกุ้ง ณ วัดแห่งหนึ่งในจำนวนหลายแห่งที่สร้างขึ้นภายใต้นามของท่าน  อันเป็นผลมาจากการที่ท่านเดินทางไปเผยแผ่พระธรรมทั่วประเทศเมียนมาร์

ท่านแลดี ซายาดอว์  เป็นพระภิกษุสงฆ์เถรวาทที่ได้รับความนิยมที่สุดในสมัยนั้น  ท่านได้รับการยอมรับตั้งแต่อายุยังน้อยในการพัฒนาทั้งในด้านทฤษฎีและการปฏิบัติของพระพุทธศาสนา  ผลงานเขียนหนังสือธรรมะของท่าน มีเนื้อหาที่ชัดเจน กระชับ และให้ความกระจ่างในการปฏิบัติธรรมต่อผู้เป็นฆราวาสเป็นอย่างยิ่ง  ที่สำคัญคือ ท่านทราบถึงการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์และความตกต่ำของสังฆะในอินเดีย  และเห็นว่าการที่จะให้ผู้คนทั่วโลกจะหันมานับถือพระพุทธธรรมที่สอนโดยพระภิกษุนั้นแทบเป็นไปไม่ได้  ท่านจึงริเริ่มสอนวิปัสสนาแก่ฆราวาส  และให้ฆราวาส เป็นผู้สอนการปฏิบัติวิปัสสนา คือ ท่านซายาเท็ตจี ซึ่งเป็นบูรพาจารย์ตามแนวทางนี้ในลำดับต่อมา  ท่านเป็นผู้สอนวิปัสสนาให้กับท่านอาจารย์อูบาขิ่น  ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า  เราทุกคนจึงเป็นหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงต่อท่านแลดี ซายาดอว์


[1] ซายาดอว์ หมายถึงพระอาจารย์  เดิมเป็นสมญาสำหรับพระเถระที่ถวายข้อธรรมแก่พระมหากษัตริย์  ภายหลังใช้เรียกพระทั่วไปที่ได้รับความเคารพอย่างสูง  และ ‘หม่อง’ เป็นคำเรียกเด็กผู้ชายหรือชายหนุ่มในภาษาเมียนมาร์  ส่วน ‘เท็ต’ หมายถึงการไต่ขึ้น  สำหรับ ‘เคา’ นั้นหมายถึงหลังคาหรือยอด