ท่านซายาจี อูบาขิ่น (คศ.1899 – 1971)
โดยสำนักวิจัยวิปัสสนา
อ้างอิง : อาจาริยบูชา หน้า 30-61
ท่านอาจารย์อูบาขิ่น หรือที่ชาวเมียนมาร์เรียกด้วยความเคารพว่า “ซายาจีอูบาขิ่น หรือซายาจี” เกิดวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2442 ณ กรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงของประเทศเมียนมาร์ ท่านถือกำเนิดในครอบครัวที่ยากจน เป็นบุตรชายคนเล็กในจำนวน 2 คนของบิดามารดา ในสมัยนั้นเมียนมาร์ยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ชาวเมียนมาร์ที่ต้องการความก้าวหน้าในการทำงานจำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษ นับเป็นโชคดีของท่าน เพราะเมื่ออายุได้ 8 ปี มีชายชราในโรงงานใกล้ ๆ ช่วยให้ท่านเข้าศึกษาในโรงเรียนของมิชชันนารี ท่านเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง สามารถจดจำบทเรียนได้ทั้งหมด รวมทั้งท่องจำไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้ขึ้นใจ และสอบได้เป็นที่หนึ่งทุกครั้งจนได้รับทุนเล่าเรียน เมื่อจบการศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ครูชาวเมียนมาร์คนหนึ่งได้ช่วยให้ท่านเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาและเตรียมอุดม ที่โรงเรียนเซนต์ปอล ซึ่งท่านก็มีผลการเรียนเป็นเลิศทุกปีอีกเช่นกัน
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2460 ท่านสำเร็จการศึกษาจากเซนต์ปอล โดยได้รับรางวัลเหรียญทองและทุนศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ความจำเป็นทางบ้านทำให้ไม่อาจศึกษาต่อได้ ท่านต้องออกมาหางานทำ ท่านอูบาขิ่นเข้าทำงานครั้งแรกกับหนังสือพิมพ์เมียนมาร์ที่ชื่อ เดอะซัน หลังจากนั้นได้สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งเสมียนที่สำนักงานกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีชาวเมียนมาร์เพียงไม่กี่คนทำงานอยู่ที่นั่น ทั้งนี้เพราะชาวอังกฤษที่ปกครองเมียนมาร์ในเวลานั้น มักจะเลือกเฉพาะชาวอังกฤษหรือชาวอินเดียเข้ารับราชการเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการกีดกัน แต่ด้วยความสามารถในการทำงานและการบริหารของท่าน ทำให้ท่านได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยงานในเวลา 9 ปีต่อมา
เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2480 ขณะอายุ 38 ปี ท่านอูบาขิ่นได้ทดลองปฏิบัติธรรมเป็นครั้งแรก โดยผู้ที่ท่านรู้จักคนหนึ่งไปเข้าอบรมวิปัสสนากับท่านซายาเท็ตจี ได้มาเยี่ยมท่านที่บ้านและอธิบายการปฏิบัติอานาปานสติให้ฟัง เมื่อท่านลองฝึกปฏิบัติดู ปรากฎว่าจิตมีสมาธิตั้งมั่นได้เป็นอย่างดี จึงเกิดความสนใจและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้ารับการอบรมเต็มหลักสูตร หลังจากนั้นเพียงอาทิตย์เดียว ท่านอูบาขิ่นตัดสินใจขอลางาน มุ่งหน้าไปยังสำนักปฏิบัติธรรมของท่านซายาเท็ตจีที่เปียวบ่วยจี
สำนักปฏิบัติธรรมของท่านซายาเท็ตจีนั้น อยู่ห่างออกไปทางใต้ของนครย่างกุ้ง ผู้ที่จะเดินทางไปต้องข้ามแม่น้ำย่างกุ้ง และเดินเท้าตัดทุ่งนาเป็นระยะทางหลายไมล์ ถึงแม้ว่าหมู่บ้านจะอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงแค่ 8 ไมล์ แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาก่อนฤดูเก็บเกี่ยว ท้องนาจึงยังคงมีสภาพเป็นโคลนตมเฉอะแฉะ ทำให้การเดินทางต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ผู้เดินทางจะต้องข้ามแม่น้ำที่ดูตื้น ๆ ทว่ากว้างใหญ่เวิ้งว้างคล้ายทะเล ตอนที่ท่านอูบาขิ่นมาถึงแม่น้ำย่างกุ้งนั้นเป็นช่วงน้ำลง เรือที่ว่าจ้างไม่อาจพาท่านไปถึงจุดหมายปลายทางได้ จึงส่งท่านลงกลางทาง ต่อจากนั้นท่านอูบาขิ่นต้องเดินลุยโคลนที่ท่วมหัวเข่าไปจนถึงสำนักของท่านซายาเท็ตจี
ในคืนนั้นเอง ท่านซายาเท็ตจีได้สอนวิธีการปฏิบัติอานาปานสติให้แก่ท่านอูบาขิ่นและชาวเมียนมาร์อีกคน ซึ่งทั้งสองคนปฏิบัติได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ท่านซายาเท็ตจีจึงตัดสินใจสอนวิปัสสนาให้ในวันถัดมา แม้จะเป็นการฝึกปฏิบัติหลักสูตร 10 วันครั้งแรกของท่านอูบาขิ่น แต่ท่านปฏิบัติได้ผลดียิ่ง และหลังจากนั้นท่านปฏิบัติเป็นประจำ โดยได้เดินทางมาฝึกปฏิบัติที่สำนักของท่านซายาเท็ตจีบ่อยครั้ง รวมทั้งได้ปฏิบัติร่วมกันกับท่านซายาเท็ตจี เมื่อท่านซายาเท็ตจีเดินทางเข้ามาในย่างกุ้ง
เมื่อกลับจากการฝึกอบรมวิปัสสนาครั้งแรกแล้ว ท่านอูบาขิ่นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการพิเศษประจำสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศเมียนมาร์
ต้นปีพ.ศ. 2484 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งต่อชีวิตของท่าน คือ ระหว่างที่เดินทางไปทางตอนเหนือของประเทศด้วยเรื่องทางราชการ ท่านอูบาขิ่นได้พบกับท่านเวบู ซายาดอว์โดยบังเอิญ ท่านเวบู ผู้นี้เป็นอริยสงฆ์ที่ชาวเมียนมาร์ให้ความเคารพอย่างยิ่งและเชื่อกันว่าท่านบรรลุอรหัตตผล หลังจากที่ได้สนทนาด้วยอัธยาศัยที่ต้องกันและนั่งปฏิบัติร่วมกัน ก่อนที่ท่านอูบาขิ่นจะนมัสการลากลับ ท่านเวบู ซายาดอว์ได้กล่าวกับท่านอูบาขิ่นว่า “ถึงเวลาที่ท่านอูบาขิ่นจะต้องลงมือสอนธรรมะให้แก่ผู้คนทั้งหลายแล้ว อย่าได้รีรออีกต่อไป เพราะบารมีที่สั่งสมไว้มีมากพอแล้ว เนื่องจากบุคคลในเพศฆราวาสที่สามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ถึงขั้นสูง โดยมิได้บวชเรียนเป็นพระมาก่อนอย่างท่านอูบาขิ่นนั้น นับว่าหาได้ยากยิ่ง” ท่านเวบู ซายาดอว์ยังได้กล่าวต่อด้วยว่า “ขอท่านอูบาขิ่นจงอย่าปล่อยให้ผู้ที่ได้พบกับท่านพลาดโอกาสที่จะได้รับธรรมะเลย”
กระแสธรรมะอันแรงกล้าของภิกษุผู้ทรงคุณธรรมอย่างท่านเวบู ซายาดอว์ ได้ผลักดันให้ท่านอูบาขิ่นต้องเริ่มลงมือสอนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทว่าในระยะแรก ท่านยังมิได้สอนอย่างเป็นจริงเป็นจังเนื่องจากภาระหน้าที่ในงานราชการ จนกระทั่งหลังจากนั้นมาประมาณ 10 ปี อย่างไรก็ตามผลจากการที่ได้พบกับท่านเวบู ซายาดอว์ ทำให้ท่านอูบาขิ่นได้เริ่มต้นชีวิตของการเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนา และท่านซายาเท็ตจีเองสนับสนุนให้ท่านอูบาขิ่นสอนวิปัสสนา
การนำธรรมะมาใช้ในงานราชการของท่านอาจารย์อูบาขิ่น
ท่านอาจารย์อูบาขิ่น ได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมบัญชีกลางเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 อันเป็นวันที่ประเทศเมียนมาร์ได้รับเอกราช ท่าน)ข้าราชการระดับสูง ที่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติราชการด้านความซื่อสัตย์สุจริต มีความสามารถอันโดดเด่น และตั้งมั่นในศีลในธรรม ได้รับการยกย่องทั้งจากนายกรัฐมนตรี ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และชาวเมียนมาร์โดยทั่วไป ท่านได้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมาสู่กรมบัญชีกลางของประเทศเมียนมาร์ ด้วยการนำวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาให้แก่เจ้าหน้าที่และพนักงานในกรม
ต่อมาท่านนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งให้ท่านอาจารย์อูบาขิ่นเป็นประธานองค์การค้าเกษตรแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานค้าขายข้าว และผลิตภัณฑ์ทางเกษตร ซึ่งมีปัญหาในการจัดทำบัญชีที่ไม่ถูกต้อง ความไร้ประสิทธิภาพ ตลอดจนการทุจริตที่ลุกลามไปทั่วทั้งหน่วยงาน แต่ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรัก ความเมตตาของท่านอาจารย์ เริ่มทำให้บรรยากาศในการทำงานและหน่วยงานเปลี่ยนแปลงไป เจ้าหน้าที่หลายคนได้เข้าอบรมหลักสูตรวิปัสสนาที่ท่านจัด ภายในระยะเวลา 2 ปีจากหน่วยงานที่ประสบภาวะขาดทุนสูงมาตลอด กลับมีผลกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ ทั้งสามารถลดความสูญเสียที่เคยมีมาตลอดลงได้
เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้มีอำนาจจะหาโอกาสทุจริตในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง แต่ท่านอาจารย์อูบาขิ่นไม่เคยทำเช่นนั้น ท่านจะตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการปฏิเสธที่จะพบกับพ่อค้าหรือเจ้าของโรงสี เว้นแต่จะเป็นเรื่องงานราชการ ซึ่งต้องพบที่สำนักงานเท่านั้น ไม่ใช่ที่บ้าน และท่านไม่ยอมรับแม้กระทั่งของขวัญส่วนตัวชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติโดยทั่วไป เพื่อขจัดความพยายามที่จะติดสินบนท่าน
ความจริงท่านอาจารย์อูบาขิ่นจะเกษียณราชการขณะอายุ 55 ปี แต่ท่านได้กลับมาทำงานราชการอีกจนอายุ 67 ปี และในช่วงเวลานั้นท่านได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่งพร้อม ๆ กับตำแหน่งเดิม นอกจากนี้ ท่านยังได้รับมอบหมายงานพิเศษในคณะกรรมการบริหารชุดต่าง ๆ ของประเทศ ในปีพ.ศ. 2499 รัฐบาลเมียนมาร์ได้มอบสมัญญานาม “ตะเรย์ สิธู (Tharay Sithu)” อันทรงเกียรติแก่ท่าน
การสอนวิปัสสนาในช่วงสุดท้ายของชีวิต
ในปีพ.ศ. 2493 ท่านอูบาขิ่นได้ก่อตั้งชมรมปฏิบัติวิปัสสนาขึ้นภายในสำนักงานกรมบัญชีกลาง เพื่อให้คนทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการในกรมฯ ได้ฝึกปฏิบัติ และปีพ.ศ. 2495 ท่านอูบาขิ่นได้เปิดศูนย์วิปัสสนานานาชาติ (International Meditation Centre – I.M.C.) อยู่ห่างจากพระมหาเจดีย์ชเวดากองไปทางทิศเหนือ 2 ไมล์ มีผู้ปฏิบัติทั้งที่เป็นชาวเมียนมาร์และชาวต่างชาติจำนวนมากได้มาเรียนรู้ธรรมะ ท่านอาจารย์อูบาขิ่นอุทิศตนให้กับการสอนวิปัสสนาโดยเฉพาะในช่วง 4 ปีสุดท้ายของชีวิต สำหรับเวลาอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้ว ท่านมักจะนำธรรมะไปประยุกต์ใช้กับงานราชการที่ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจ
ปีพ.ศ. 2496 ท่านเวบู ซายาดอว์พร้อมด้วยพระลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง ได้รับนิมนต์จากท่านอาจารย์มาพำนักที่ศูนย์วิปัสสนานานาชาติเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็ม เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาและแผ่เมตตา ซึ่งนับเป็นปรากฎการณ์อันอัศจรรย์ยิ่ง เพราะโดยปกติแล้วท่านเวบู ซายาดอว์จะไม่ไปค้างแรมในที่ใดเลย นอกจากที่บ้านเดิมของท่านที่ตำบลอินจิมปิ และที่สำนักวิปัสสนาอีก 2 แห่งของท่านเอง คือ ที่เชาเซะ และชเวโบ นอกจากนี้ยังนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ที่พระภิกษุจะมาพักอยู่ในสำนักวิปัสสนาของอาจารย์ที่เป็นฆราวาส
ในวโรกาสฉลอง 25 พุทธศตวรรษ (ปีพ.ศ. 2497-2499) ประเทศเมียนมาร์ ได้เป็นเจ้าภาพจัดทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่หก (ฉัฏฐสังคายนา) ณ นครย่างกุ้ง ภายใต้การดูแลของท่านนายกรัฐมนตรีอูนุ ซึ่งประสงค์จะสังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดเพื่อการจัดพิมพ์ และได้เชิญชวนพุทธศาสนิกชนหลายประเทศไปร่วมพิธีด้วย โดยเฉพาะประเทศเถรวาททั้งห้า คือ เมียนมาร์ ลังกา ไทย ลาว เขมร ให้ประมุขหรือผู้แทนประมุขเป็นหัวหน้า ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากเพราะใช้พระไตรปิฎกภาษาบาลีอย่างเดียวกัน ท่านอาจารย์อูบาขิ่นซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกบริหารของสภาพุทธศาสนาแห่งสหภาพเมียนมาร์ อันมีบทบาทสำคัญในการสังคายนาครั้งนี้ และท่านมีบทบาทสำคัญในสภาพุทธศาสนาฯ จนปีพ.ศ. 2510
ท่านอาจารย์อูบาขิ่นมีความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ ชาวตะวันตกบางคนที่มาร่วมงานฉัฏฐสังคายนาได้ไปเข้าอบรมวิปัสสนากับท่าน เนื่องจากในขณะนั้นไม่มีวิปัสสนาจารย์ท่านอื่นที่มีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษเลย บางครั้งท่านได้รับเชิญให้ไปแสดงปาฐกถาธรรมแก่ชาวต่างชาติในเมียนมาร์ ซึ่งปาฐกถาธรรมเหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์และรวบรวมไว้ในหนังสือ “What Buddhism Is” และ ” The Real Values of True Buddhist Meditation”
เมื่อท่านอาจารย์อูบาขิ่นได้รับอนุญาตให้เกษียณอายุราชการในปีพ.ศ. 2510 และนับตั้งแต่นั้นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในปีพ.ศ. 2514 ท่านได้อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการสอนวิปัสสนา ด้วยการมาอยู่ประจำที่ศูนย์วิปัสสนานานาชาติที่ท่านได้ก่อตั้งขึ้น และในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2514 นั้นเอง ท่านได้ล้มป่วยและจากไปอย่างกะทันหัน ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าได้รับทราบข่าวนี้ ขณะดำเนินการอบรมวิปัสสนาในประเทศอินเดีย
หลังจากที่ท่านอาจารย์อูบาขิ่นถึงแก่กรรมไปได้หนึ่งปี ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าได้เขียนคำไว้อาลัยถึงท่านว่า
“ถึงแม้ท่านอาจารย์จะจากไปขวบปีแล้ว แต่เมื่อข้าพเจ้าได้เฝ้าดูความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของการอบรมวิปัสสนา ยิ่งมั่นใจว่าเป็นเพราะเมตตาของท่านนั่นเองที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดแรงบันดาลใจ และมีพลังที่จะรับใช้ผู้คนจำนวนมาก..เห็นได้ชัดเจนว่าพลังของธรรมะนั้นหาที่สุดมิได้ ความปรารถนาของท่านอาจารย์กำลังสัมฤทธิ์ผล คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้รับการรักษาสืบทอดมาหลายศตวรรษ กำลังมีผู้ปฏิบัติและได้รับอานิสงส์ ณ ที่นี้และบัดนี้”
ท่านอาจารย์อูบาขิ่นเองเคยกล่าวว่า
“เวลาของวิปัสสนาได้มาถึงแล้ว นั่นคือเวลาแห่งการฟื้นฟูการปฏิบัติวิปัสสนา หากคนที่มาฝึกปฏิบัติมาด้วยใจที่เปิดกว้าง เมื่อได้รับการอบรมจากอาจารย์ผู้มีความสามารถ คนเหล่านั้นจะต้องได้รับผลที่ดีและยั่งยืน ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผลดีจากการปฏิบัติวิปัสสนาจะเกื้อกูลให้คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่อย่างราบรื่น และประสบแต่ความสุขสงบตราบชั่วชีวิต”
ท่านอาจารย์อูบาขิ่นมีปณิธานที่จะนำพระธรรมรัตนะอันล้ำค่าของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาเผยแผ่ให้ชาวโลกได้รู้จัก ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาที่ชาวเมียนมาร์ได้รับจากอินเดีย ได้กลับคืนสู่ประเทศอินเดียที่เป็นต้นกำเนิดและเผยแผ่ไปทั่วโลก ด้วยความเมตตาและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์ทั้งหลาย ซึ่งบัดนี้วิธีการปฏิบัติที่ท่านอาจารย์อูบาขิ่นได้เผยแผ่และมอบผ่านมาทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้าได้แผ่ขยาย มีศูนย์วิปัสสนาตามแนวทางนี้มากกว่า 200 ศูนย์ฯ กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกแล้ว ปณิธานและความปรารถนาของท่านได้บรรลุผลแล้ว
เครดิตภาพ “From Myanmar to the World: Part 1”