ท่านซายาเท็ตจี (ค.ศ.1873- 1945)

โดยสถาบันวิจัยวิปัสสนา

อ้างอิง : อาจาริยบูชา หน้า 20-28

ท่านอาจารย์เท็ต หรือท่านซายาเท็ตจี เกิดวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2416 ในครอบครัวชาวนา ณ หมู่บ้านเปียวบ่วยจี  ห่างจากกรุงย่างกุ้งไปทางใต้ 8 ไมล์  มีชื่อเดิมว่าหม่องโพเท็ต หรืออูเท็ต บิดาของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านอายุได้ 10 ปี  มารดาจึงต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสี่ตามลำพังด้วยการขายผักชุบแป้งทอดในหมู่บ้าน  เด็กชายโพเท็ตต้องออกไปเร่ขายผักชุบแป้งทอด  แต่มักกลับบ้านโดยขายไม่ได้  เพราะอายที่จะร้องขาย  ดังนั้นแม่ของท่านจึงต้องส่งลูกออกไป 2 คน  ให้โพเท็ตเทินถาดที่ใส่ผักชุบแป้งทอดไว้บนศีรษะ  ให้น้องสาวของท่านเป็นคนร้องเร่ขาย

เนื่องจากท่านมีภาระต้องช่วยหาเลี้ยงครอบครัว จึงได้ศึกษาเล่าเรียนเพียง 6 ปีเท่านั้น  ครอบครัวของท่านไม่มีที่ดินทำกินหรือที่นา  ต้องไปอาศัยเก็บเมล็ดข้าวที่ตกจากการเก็บเกี่ยวในนาของคนอื่น  วันหนึ่งระหว่างกลับจากท้องนาจะไปบ้าน  โพเท็ตพบปลาเล็ก ๆ อยู่ในสระน้ำที่กำลังเหือดแห้ง จึงจับกลับบ้านเพื่อจะนำไปปล่อยลงสระน้ำในหมู่บ้าน  เมื่อมารดาของท่านเห็นเข้าก็เกือบจะเอ็ด  แต่พอเด็กชายอธิบายถึงความตั้งใจ  มารดาจึงเปล่งคำว่า “สาธุ สาธุ! (ดีแล้ว ดีแล้ว)” ออกมาแทน  มารดาของท่านเป็นหญิงใจดี ไม่เคยจุกจิกหรือดุด่าอะไร  และทนไม่ได้กับเรื่องการทำบาปทำกรรม

เมื่อหม่องโพเท็ตอายุได้ 14 ปี  เริ่มทำงานเป็นคนขับเกวียนขนข้าว นำค่าแรงที่ได้รับในแต่ละวันมาให้แม่  เจ้าของโรงสีข้าวเห็นเด็กน้อยทำงานแบกหามข้าวสารอย่างขันแข็ง  จึงตัดสินใจว่าจะจ้างให้เขาตรวจนับสินค้าในโรงสีด้วยอัตราเงินเดือนละ 6 รูปี  โพเท็ตพักอยู่ที่โรงสี  กินอาหารง่าย ๆ คือ ข้าวกับถั่วซีกชุบแป้งทอด  ในตอนแรกท่านซื้อข้าวจากยามชาวอินเดียและคนงานอื่น  พวกนั้นบอกให้ท่านเอาเศษข้าวที่เก็บกวาดจากโรงสีสำหรับไว้เลี้ยงหมูและไก่มากิน  ซึ่งท่านปฏิเสธโดยกล่าวว่าไม่ต้องการนำมากินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของโรงสี  เมื่อเจ้าของโรงสีทราบก็อนุญาต  แต่ทว่าหม่องโพเท็ตทานปลายข้าวอยู่ไม่นาน  เจ้าของเรือสำปั้นและเกวียนก็ให้ข้าวแก่ท่าน  เพราะท่านเป็นคนงานที่ขยันขันแข็ง  กระนั้นโพเท็ตยังคงเก็บกวาดปลายข้าวจากโรงสี  นำไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านยากจนที่ไม่สามารถซื้อข้าวกินได้

ปีต่อมาท่านได้รับเงินเดือนเพิ่มเป็น 10 รูปี  หลังจากผ่านไป 2 ปี  ได้รับเพิ่มเป็น 15 รูปี  เจ้าของโรงสีให้เงินท่านซื้อข้าวคุณภาพดีและให้สีข้าวเปล่าได้เดือนละ 100 ถัง  เงินเดือนเพิ่มขึ้นไปถึง 25 รูปี  ซึ่งเพียงพอที่จะเลี้ยงดูตนเองและมารดา  เมื่ออายุ 16 ปี  หม่องโพเท็ตแต่งงานกับมะเหมียน  ลูกสาวคนสุดท้องในจำนวนสามคนของเจ้าของที่ดินและพ่อค้าข้าวที่มั่งคั่งรายหนึ่ง  ทั้งคู่มีบุตร 2 คน เป็นหญิงและชายอย่างละคน  โดยได้พักอาศัยอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิงตามประเพณีของชาวเมียนมาร์  มะหยี  พี่สาวคนที่สองนั้นเป็นโสด  มีกิจการเล็กๆ ของตนเอง  ซึ่งต่อมาเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้อูโพเท็ตได้ปฏิบัติและสอนวิปัสสนา  ส่วนมะขิ่น พี่สาวคนโตของมะเหมียนแต่งงานกับโค คะเย  มีบุตรชายหนึ่งคนชื่อหม่องยุ โค คะเย เป็นผู้ดูแลกิจการและที่นาของครอบครัว  ส่วนหม่องโพเท็ต  ตอนนี้ได้กลายเป็นอูโพเท็ตหรืออูเท็ตแล้ว ก็ร่ำรวยจากการค้าข้าวเช่นกัน

ในวัยเด็ก อูเท็ตไม่มีโอกาสได้บวชเณร ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญในประเทศเมียนมาร์  ดังนั้นเมื่อหม่องยุ หลานชายบวชเณรตอนอายุ12 ปี  อูเท็ตจึงถือโอกาสบวชเณรด้วย และต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ 23 ปี  ท่านได้ฝึกปฏิบัติอานาปานสติกับท่านซายายุ ซึ่งเป็นอาจารย์ฆราวาส  และปฏิบัติเรื่อยมาอยู่นาน 7 ปี

การออกแสวงหาโมกขธรรมและการปฏิบัติธรรมกับท่านแลดี ซายาดอว์

อูเท็ตกับภรรยามีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นสุข  ห้อมล้อมไปด้วยญาติมิตร  ทว่าความสุขต้องพังทลายลง  เมื่อโรคอหิวาต์ระบาดเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อปีพ.ศ. 2446  มีชาวบ้านได้ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก  รวมทั้งลูกชายและลูกสาวของอูเท็ต  ซึ่งได้ตายภายในอ้อมแขนของท่าน  รวมทั้งโค คะเย พี่เขยและภรรยา  ตลอดจนหลานสาวที่เป็นเพื่อนเล่นกับลูกสาวของท่านด้วย

ภัยพิบัติครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้แก่อูเท็ตอย่างยิ่ง  ท่านจึงขออนุญาต ภรรยา พี่ภรรยา และญาติ ออกจากหมู่บ้านไปแสวงหา “ความเป็นอมตะ” โดยมีเพื่อนชื่ออู-นโยติดตามไป  ท่านตระเวนไปทั่วเมียนมาร์ ได้ศึกษากับครูอาจารย์ต่าง ๆ ทั้งพระและฆราวาส  ตามสถานที่ฝึกกรรมฐานทั้งบนภูเขาและวัดป่า  ในที่สุดท่านได้ขึ้นเหนือไปมงยวา เพื่อปฏิบัติธรรมกับท่านแลดี ซายาดอว์ ตามคำแนะนำของท่านซายายุ อาจารย์คนแรก

ระหว่างที่แสวงหาโมกขธรรมอยู่นั้น  ภรรยากับพี่ภรรยาของท่านยังคงอยู่ที่เปียวบ่วยจีเพื่อดูแลไร่นา  ช่วง 2-3 ปีแรกท่านได้กลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัวเป็นครั้งคราว  เมื่อเห็นว่าพวกเขาสบายดี จึงได้เริ่มหันมาปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องจริงจังยิ่งขึ้น  โดยพักอยู่กับท่านแลดี ซายาดอว์นานถึง 7 ปี  ระหว่างนี้  ภรรยากับพี่สาวคอยส่งเงินที่ได้จากผลเก็บเกี่ยวในไร่นาของครอบครัวมาให้ท่านทุกปี

เจ็ดปีผ่านไป  ท่านเดินทางกลับหมู่บ้านพร้อมกับอู-นโย  แต่ไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตครองเรือนเหมือนเช่นเคย  เมื่อท่านไปกราบลา ท่านแลดี ซายาดอว์ได้แนะนำว่า  “ให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง พัฒนาสมาธิและปัญญา  เพื่อจะได้สอนวิปัสสนาให้แก่ผู้อื่นในที่สุด”  เมื่อมาถึงบ้าน  คนทั้งสองได้ไปพักที่ศาลาปลายนาของครอบครัว และใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม ท่านฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องโดยว่าจ้างหญิงชาวบ้านทำอาหารให้วันละ 2 มื้อ

อูเท็ตปฏิบัติเช่นนี้อยู่หนึ่งปี  พบกับความก้าวหน้าทางธรรมอย่างมาก  วันหนึ่งท่านรู้สึกว่าต้องการคำแนะนำจากพระอาจารย์  และแม้ไม่ได้สนทนากับท่านแลดี ซายาดอว์ได้โดยตรง  แต่มีหนังสือของท่านอยู่ในตู้ที่บ้าน  ท่านจึงกลับบ้านเพื่อไปเอาหนังสือเล่มดังกล่าว  ภรรยาและพี่ภรรยาของท่านรู้สึกโกรธที่ท่านหายหน้าไปนานไม่ยอมกลับบ้าน  ภรรยาของท่านถึงกับตัดสินใจจะหย่าขาดจากท่าน  เมื่อพวกเขาเห็นอูโพเท็ตเดินตรงเข้ามา  ตกลงใจกันว่าจะไม่ทักทายหรือกล่าวต้อนรับ  แต่พออูเท็ตมาถึงประตู พวกเขากลับต้อนรับ พูดคุยกับท่านอยู่พักหนึ่ง  ท่านอูเท็ตได้กล่าวขอโทษ ซึ่งพวกเขาก็ให้อภัยและเลี้ยงอาหารพร้อมทั้งนำหนังสือมาให้   ท่านอูเท็ตกล่าวกับภรรยาว่า ตอนนี้ท่านถือศีล 8  และจะไม่กลับมาใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ครองเรือนอีก  นับจากนี้ไปท่านและภรรยาจะเป็นเช่นพี่น้องกัน

ภรรยาและพี่ภรรยาเชื้อเชิญให้ท่านมารับประทานอาหารเช้าที่บ้านทุกวัน  และยินดีที่จะสนับสนุนท่านต่อไป  ท่านซาบซึ้งใจอย่างที่สุด  บอกว่ามีทางเดียวที่จะตอบแทนคุณของพวกเขาได้  นั่นคือ  การให้ธรรมะกับญาติ ๆ  รวมทั้งอูบาโซ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับภรรยาของท่านที่ได้มาพบปะพูดคุยกับท่านด้วย  หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์  อูเท็ตบอกว่าท่านใช้เวลาในการไป-กลับเพื่ออาหารกลางวันมากเกินไป  ดังนั้นมะเหมียนกับมะหยีจึงอาสาจะนำอาหารกลางวันมาให้ที่ศาลา

ในตอนแรก ชาวบ้านรู้สึกลังเลที่จะมาฝึกปฏิบัติธรรมกับอูเท็ต  คิดว่าท่านคงเสียสติ เนื่องจากความโศกเศร้าจากภัยพิบัติในครั้งนั้นจนเตลิดออกไปจากหมู่บ้าน  แต่จากคำพูดและการกระทำของท่าน รวมทั้งหลังจากนั้นอีก 2-3 เดือน  ทั้งหมู่บ้านเริ่มประหลาดใจที่ได้และเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของเหล่าคนงานของอูเท็ต  เดิมคนเหล่านั้นเป็นคนหยาบ ขี้เมา และชอบทะเลาะวิวาท  แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนอ่อนโยน รักสงบ  ชาวบ้านจึงเริ่มถามว่า “เจ้านายเขาสอนอะไรให้พวกแกนะ?” คนงานเหล่านั้นพยายามที่จะอธิบายเท่าที่จะสามารถทำได้  ในที่สุดชาวบ้านอดที่จะรู้สึกประทับใจกับผลที่เกิดไม่ได้และคิดว่า “เอ นั่นคือวิธีการที่กล่าวอยู่ในพระบาลีนี่นา บางทีคน ๆ นี้อาจจะรู้วิธีปฏิบัติที่แท้จริงก็เป็นได้ เราน่าจะไปลองปฏิบัติดู จะได้รู้ว่าเขาสอนอะไร”

สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาประจักษ์ว่า  ท่านเป็นคนใหม่ที่มีชีวิตอยู่กับธรรมะจริง  ในปีพ.ศ. 2457 ขณะอายุได้ 41 ปี ท่านเริ่มสอนอานาปานสติให้แก่คนกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 15 คน  ศิษย์ทั้งหมดอยู่พักปฏิบัติกับท่านที่ศาลา  มีบางคนกลับบ้านไปเป็นครั้งคราว  นอกจากนี้ท่านยังแสดงธรรมให้แก่ศิษย์และผู้สนใจด้วย  ผู้ที่ได้ฟังกล่าวว่าธรรมะของท่านนั้นลึกซึ้ง จนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าท่านมีความรู้ทางด้านปริยัติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และด้วยการสนับสนุนของภรรยาและพี่ภรรยา  ตลอดจนความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัว  ผู้มาปฏิบัติธรรมกับท่าน  ได้รับความสะดวกในด้านอาหารการกินและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ  จนทำให้มีผู้มาเข้ารับการอบรมเพิ่มมากขึ้น  กระทั่งในคราวหนึ่งถึงกับต้องว่าจ้างคนมาช่วย

 

ท่านแลดี ซายาดอว์มอบหมายให้สอนวิปัสสนากรรมฐาน

ประมาณปีพ.ศ.2458 หลังจากสอนวิปัสสนามาได้ปีเศษ  อูเท็ตพาภรรยากับพี่ภรรยา รวมทั้งคนในบ้าน ไปมงยวาเพื่อกราบท่านแลดี ซายาดอว์ เมื่อท่านอูเท็ตเล่าถึงการปฏิบัติของตนเองและการอบรมที่จัดขึ้น  ท่านแลดี ซายาดอว์รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ในการไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้  ท่านแลดี ซายาดอว์ได้มอบไม้ตะพดให้แก่อูเท็ต และกล่าวว่า

“ศิษย์ที่ยิ่งใหญ่ของข้า  จงรับไม้ตะพดนี่ไป  แล้วก้าวต่อไปข้างหน้า  รักษามันให้ดี  ข้าไม่ได้มอบสิ่งนี้แก่เจ้าเพื่อให้มีอายุยืนยาว  แต่เป็นรางวัล  เพื่อไม่ให้มีความวิบัติเกิดขึ้นกับชีวิตของเจ้าอีก  เจ้าประสบกับความสำเร็จแล้ว  นับจากนี้ไปจะต้องเผยแผ่ธรรมเรื่องกายและจิตให้แก่คน 6,000 คน  ธรรมะจากเจ้าจะขจรขจาย  ทำให้ศาสนาแพร่ขยายออกไป  จงช่วยเผยแผ่ศาสนาแทนข้าด้วย”

วันรุ่งขึ้น ท่านแลดี ซายาดอว์เรียกประชุมพระทั้งหมดในวัด  และขอให้อูเท็ตสอนกรรมฐานพระเหล่านั้นเป็นเวลา 10- 15 วัน  ซึ่งซายาดอว์ได้กล่าวในที่นั้นว่า

“ทุกคนจงฟังให้ดี อูโพเท็ต อุบาสกจากเมียนมาร์ตอนล่างผู้นี้  เป็นศิษย์เอกของข้า สามารถสอนกรรมฐานได้เช่นเดียวกับข้า  ผู้ใดที่ประสงค์จะเรียนกรรมฐาน  ขอให้ตามอุบาสกเท็ตไป  เรียนรู้วิธีการปฏิบัติจากเขา  และลงมือปฏิบัติ  ส่วนเจ้าทายกเท็ต  เจ้าจงเผยแผ่ธรรมแทนข้า โดยเริ่มต้นที่วัดของข้านี่”

ตอนนั้นอูเท็ตจึงได้สอนวิปัสสนาให้แก่พระ 25 รูปที่มีความรู้แตกฉานในด้านปริยัติ  ช่วงนี้เองที่ท่านได้รับสมญานามว่า “ซายาเท็ตจี[1]

จากนั้นท่านซายาเท็ตจีและญาติ ๆ ลากลับบ้าน  เพื่อดำเนินการตามที่ท่านแลดี ซายาดอว์ได้มอบหมาย  และเริ่มจัดการอบรมที่ศาลาในหมู่บ้านเปียวบ่วยจี และก็เป็นไปดังคำพูดที่พี่ภรรยาได้กล่าวไว้  มีผู้คนพากันมาเข้าอบรมวิปัสสนา จนชื่อเสียงของท่านซายาเท็ตจีในฐานะวิปัสสนาจารย์ได้ขจรขจายออกไป  ท่านสอนทั้ง ชาวนา กรรมกร ตลอดจนผู้ที่มีความรู้แตกฉานในด้านปริยัติ  หมู่บ้านดังกล่าวอยู่ไม่ไกลจากย่างกุ้งเมืองหลวงของเมียนมาร์ ซึ่งตอนนั้นอยู่ภายใต้ปกครองของอังกฤษ

ดังนั้นข้าราชการและผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง  รวมทั้งท่านอูบาขิ่น ก็ได้มาเข้ารับการอบรมด้วย  ต่อมาท่านซายาเท็ตจี ได้แต่งตั้งผู้ปฏิบัติที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิ อย่าง อู-นโย อูบาโซ และอูอองยุให้ช่วยดำเนินการอบรม  เนื่องจากในแต่ละปีมีผู้มาเข้ารับการอบรมมาก  เพิ่มจำนวนเป็น 200 คน  ซึ่งมีทั้งพระและชีรวมอยู่ด้วย  จนสถานที่ไม่พอ  ดังนั้นศิษย์ที่ค่อนข้างมีประสบการณ์จึงต้องปฏิบัติอยู่ที่บ้านของตน  และมาที่ศาลาเพื่อฟังธรรมบรรยายเท่านั้น

ท่านซายาเท็ตจีกลับไปเยี่ยมศูนย์ของท่านแลดี ซายาดอว์เป็นครั้งคราว  ท่านใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสันโดษเยี่ยงภิกษุ  ท่านไม่เคยพูดถึงการบรรลุธรรมของตนเอง  ถ้ามีคนเอ่ยถาม  ท่านไม่เคยตอบว่าบรรลุธรรมถึงขั้นไหน  หรือศิษย์คนไหนบรรลุธรรมขั้นไหน  แม้คนส่วนใหญ่ในเมียนมาร์จะเชื่อกันว่าท่านเป็นอนาคามี  และเรียกขานท่านว่าอนาคาซายาเท็ตจีก็ตาม

ช่วงบั้นปลายของชีวิต

ท่านซายาเท็ตจีสอนวิปัสสนาเรื่อยมาเป็นเวลา 30 ปี  โดยอาศัยประสบการณ์ของท่านเอง และหยิบยกหนังสือของท่านแลดี ซายาดอว์มาใช้อ้างอิงประกอบ  ในปีพ.ศ. 2488  ขณะท่านมีอายุ 72 ปี และได้สั่งสอนผู้คนจำนวนหลายพันคน  นับว่าท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ลุล่วง

ต่อมาภรรยาของท่านได้เสียชีวิต และพี่ภรรยาเป็นอัมพาต  ส่วนตัวท่านเองมีสุขภาพเสื่อมถอยลง  ดังนั้นท่านจึงยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่หลานสาวและหลานชาย โดยขอปันเนื้อที่ 50 เอเคอร์ไว้เป็นที่ปฏิบัติธรรม   นอกจากนี้ท่านได้แจกจ่ายควายสำหรับไถนา 20 ตัว  ให้แก่ผู้ที่ท่านเห็นว่าจะดูแลพวกมันเป็นอย่างดี  โดยให้พรว่า “พวกเจ้าเป็นผู้มีคุณที่คอยช่วยเหลือข้า  เพราะพวกเจ้าทีเดียว  ต้นข้าวจึงได้งอกงาม  ตอนนี้พวกเจ้าไม่ต้องทำงานอีกแล้ว  ขอให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากชีวิตเช่นนี้  ไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น”

จากนั้นท่านเดินทางไปย่างกุ้ง  เพื่อรักษาอาการป่วยและเยี่ยมเยียนศิษย์  ท่านบอกกับศิษย์บางคนว่าท่านจะเสียชีวิตที่ย่างกุ้ง  และศพจะถูกฌาปนกิจในที่ที่ไม่ใช่ฌาปนสถานมาก่อน  ทั้งยังบอกด้วยว่าอย่าเก็บเถ้ากระดูกของท่านไว้ในสถานที่สักการะ  เพราะท่านยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชิง  ซึ่งนั่นหมายความว่าท่านยังไม่บรรลุอรหัตตผล

ศิษย์คนหนึ่งของท่านได้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาขึ้นที่อาร์ซานิกง  ทางเนินเขาด้านเหนือของพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ใกล้กับสถานที่หลบภัย  ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง  ท่านซายาเท็ตจีจึงใช้หลุมหลบภัยดังกล่าวเป็นที่ปฏิบัติธรรม  กลางคืนท่านจะพักอยู่กับอาจารย์ผู้ช่วยท่านหนึ่ง  ศิษย์จากย่างกุ้ง รวมทั้งท่านอูบาขิ่น (อธิบดีกรมบัญชีกลาง)  และท่านอูซานเต็น (ผู้ตรวจการภาษี) จะมาเยี่ยมเยียนท่านเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย  ท่านมักบอกกล่าวแก่ทุกคนที่มาเยี่ยมว่าให้ตั้งใจปฏิบัติ  และให้ปฏิบัติต่อพระและชีที่มาเข้ารับการอบรมด้วยความเคารพ  ให้มีความสำรวมกาย วาจา ใจ  ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด  ขอให้รำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านซายาเท็ตจีมักจะไปสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากองทุกเย็น  แต่หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์  ท่านล้มป่วยด้วยไข้หวัด เนื่องจากนั่งปฏิบัติในหลุมหลบภัย   แม้จะได้รับการรักษาจากแพทย์  แต่อาการของท่านก็ทรุดลง  หลานของท่านได้เดินทางจากเปียวบ่วยจีมายังย่างกุ้ง  และทุกคืนศิษย์ของท่านประมาณ 50 คนจะมานั่งปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งในระหว่างที่นั่งนี้  ท่านซายาเท็ตจีจะปฏิบัติอย่างเงียบ ๆ  ประมาณสี่ทุ่มของคืนวันหนึ่ง  ระหว่างที่ท่านกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางศิษย์จำนวนหนึ่ง (ท่านอาจารย์อูบาขิ่นไม่อาจมาร่วมในคืนนั้นได้)  ท่านเริ่มหายใจดังและยาวขึ้น  ศิษย์สองคนจึงคอยเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด  ในขณะที่คนอื่นนั่งปฏิบัติไป  พอถึงห้าทุ่มตรง  ลมหายใจของท่านยิ่งลึกขึ้น ๆ จนดูเหมือนว่าลมหายใจเข้า-ออกแต่ละครั้งนั้นกินเวลานานถึง 5 นาที  หลังจากหายใจเช่นนี้อยู่สามครั้ง ท่านหยุดหายใจและจากไป

ร่างของท่านซายาเท็ตจีได้รับการฌาปนกิจที่เนินเขาทางด้านเหนือของพระเจดีย์ชเวดากอง  ซึ่งต่อมาท่านอาจารย์อูบาขิ่นและศิษย์ได้สร้างเจดีย์เล็ก ๆ ไว้เป็นอนุสรณ์  ทว่าสิ่งที่ให้รำลึกถึงวิปัสสนาจารย์ผู้ประเสริฐท่านนี้ตลอดไป คือ ภาระหน้าที่ในการเผยแผ่ธรรมะไปสู่ผู้คนทุกหมู่เหล่าในสังคม ที่ท่านแลดี ซายาดอว์ได้มอบหมายแก่ท่านนั้นยังคงได้รับการสืบสานต่อมา


[1] “ซายา” หมายถึงอาจารย์  ส่วน ”จี” เป็นคำแสดงความเคารพ